รีวิว “เราเที่ยวด้วยกัน” จากอันดามันถึงอ่าวไทย
มึนตั้งแต่เปลี่ยนชื่อโครงการ “เที่ยวปันสุข” มาเป็น “เราเที่ยวด้วยกัน” คงเพราะได้ปูทาง “เราไม่ทิ้งกัน” มาแล้ว จึงต้อง “เรา” กันต่อ แต่ก็ยังเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” ที่ออกแนวงงๆ ใช้ยากอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ผ่านด่านที่หลายคนท้อจนถอยมาได้
ตอนแรกกะว่า เปิดมาวันแรกเว็บไซต์ “เราเที่ยวด้วยกัน” จะล่ม เหมือนโครงการแจกเงินเยียวยา “เราไม่ทิ้งกัน” หรือจะชักช้าอืดอาดไม่ชัดเจน จึงทำการเตรียมใจไว้มาก จนกลายเป็นคนแรกๆ ในกลุ่มเพื่อนที่ใช้สิทธิ์นี้ได้สำเร็จ
วันที่เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ “เราเที่ยวด้วยกัน” 15 ก.ค. 2563 ก็ไม่พบเหตุขัดข้องใดๆ พอมาดูตัวเลขในวันนี้ (28 ก.ค. 2563) ก็พอเดาได้ว่า เป็นแคมเปญที่ยังไม่เร้าใจ และเข้าใจยาก ที่สำคัญคือ “ไม่ฟรี”… จึงไม่มีความพยายาม ไม่มีการไขว่คว้าเกิดขึ้น วันนี้ (28 ก.ค.) เพิ่งมีคนใช้สิทธิ์จองห้องพักสองแสนกว่า ใช้สิทธิ์แล้วประมาณห้าหมื่นกว่าห้อง
แต่ด้วยกำหนดการเดินทางไปจังหวัดกระบี่อยู่แล้วในวันที่ 20-22 ก.ค. 2563 ก็เลยอยากจะใช้สิทธิ์ในโครงการนี้อยู่เที่ยวต่อ จึงต้องลอง!
วันที่ 15 ก.ค. 2563
ตื่นมาก็เปิดเว็บไซต์เราเที่ยวด้วยกัน กรอกข้อมูลรายละเอียดไปตามขั้นตอน จากนั้นก็รอรับรหัส OTP สำหรับการยืนยันตัวตน ซึ่งระบบแจ้งว่าจะส่งกลับมาภายใน 3 วัน
วันที่ 16 ก.ค.2563
ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ได้รับรหัส เลยได้นำไปยืนยันตัวตน เอาเป็นว่าสมัครไม่ยาก ที่ไม่ผ่านหรือไม่ได้รับสิทธิ์ ส่วนใหญ่ที่เคยคุยกับเพื่อนที่พบปัญหาคือ นึกว่าสมัครเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เอารหัสมากรอกยืนยัน หรือตอนยืนยัน ยังไม่ได้ถ่ายบัตรประชาชน หรือกรอกข้อมูลไม่ครบ เพราะมันมีขั้นตอนซ่อนเงื่อนอยู่พอสมควร อะไรที่เคยคิดว่ากรอกแล้ว ก็อาจจะต้องย้ำอีกครั้ง
ผ่านขั้นตอนการสมัคร ได้รับสิทธิ์แล้ว โหลดแอพเป๋าตังค์ขึ้นมาเช็ค จะรู้ว่าเรามีสิทธิ์ แต่ยังจองไม่ได้…เพราะระบบเปิดพร้อมจองที่พักวันที่ 18 ก.ค.
18 ก.ค. 2563
เมื่อวันเวลามาถึง ก็เปิดเป๋าตังค์ขึ้นมา รู้ว่าในตอนนั้นว่า จะจองให้ง่ายที่สุดคือ ผ่านทางอโกด้า หรือ จองตรงกับโรงแรม แต่เอาเข้าจริง ๆ ทางโรงแรมก็ยังงงๆ บางแห่งก็ยังไม่ได้สมัครเข้าร่วมโครงการ บางแห่งทำแคมเปญเราเที่ยวด้วยกัน แต่ไม่ยักกะเห็นปรากฏในโครงการ แบบนี้เป็นต้น
เราได้เข้าแอป Agoda ซึ่งในแอป จะมีช่องทางเข้าโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เป็นประตูให้เข้าไปเลือกที่พัก ถ้าไม่เข้าประตูนี้ ก็ไม่ได้รับสิทธิ์ ขั้นตอนไม่ยาก แค่กรอกเลขบัตรประชาชน 4 ตัวท้าย ก็เข้าไปช้อปปิ้งได้เลย
ใครที่ค้นหาห้องพักหรือร้านอาหารผ่านแอปเป๋าตังค์ สุดท้ายมันก็จะต้องไปหาช่องทางการจองอีกที ซึ่งการค้นหาก็ยังงงๆ ซับซ้อนหน่อยๆ สำหรับคนใจร้อน เป็นอันว่าข้ามไปจองผ่านอโกด้า (ตอนนี้อาจจะมีช่องทางเพิ่มแล้ว) เลือกวันเวลา เลือกโรงแรม เลือกรูปแบบห้อง ก็จะเห็นรายละเอียดราคา (ด้านล่างของราคาห้องแต่ละแบบจะมีเขียนว่า “ข้อเสนออื่น” ให้ลองคลิกเข้าไป บางห้องแอบซ่อนอาหารเช้าไว้ด้วยนะ)
การจองผ่านอโกด้า จะต้องจ่ายเงินจองล่วงหน้า ภายในเวลาที่กำหนด ไม่สามารถจ่าย ณ วันเข้าพักได้ โดยราคาที่แจ้งในหน้าค้นหา ยังไม่รวมภาษี ในส่วนนี้เราโอนจ่ายตรงจากบัญชีธนาคารไปยังที่พักหรืออโกด้า (ผ่าน 123 service) ได้เลย (ส่วนการใช้คูปองส่วนลดร้านอาหาร ต้องทำผ่านแอปเป๋าตังค์ โดยเราต้องเติมเงินใส่เข้าไป ซึ่งมีรายละเอียดการเติมเงินอธิบายไว้ในแอปฯ)
วันที่ 22 ก.ค. 2563
เสร็จภารกิจเที่ยวฟินตามหมายกำหนดการในจังหวัดกระบี่แล้ว โบกมือลาทีมจากกรุงเทพ แยกเดี่ยวดิ่งตรงไปที่ “อ่าวนาง ฟีโอเร่ รีสอร์ต” ซึ่งเราได้จองห้องพักแบบ “จากุซซี่ วิลลา” ราคาที่เต็มที่อโกด้าแจ้งคือ 4,199.79 บาท รัฐออกให้ 1,679.79 บาท เราจ่ายเอง 2,520 บาท
เมื่อไปถึงที่พัก พนักงานที่นี่น่ารัก พูดจาสุภาพ และยอมรับว่า เราคือคนแรกของโครงการที่มาใช้บริการ ขออภัยในความตะกุกตะกัก และขอเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ทางโรงแรมจะมีมือถือเพื่อสแกน QR CODE ในแอปเป๋าตังค์ของเรา ซึ่งระบุไว้แล้วว่า ให้เช็คอินด้วยการโชว์ QR CODE แล้วรอรับคูปองอาหารที่จะเข้ามาในแอปเป๋าตังค์ ซึ่งวันนั้นระบุว่าจะเข้ามาตอน 17.00 น. ซึ่งตอนนั้นกำลังแช่น้ำสบายตัวอยู่กับวิวเขา
ในส่วนคูปอง 600 บาทในแอปเป๋าตังค์ จะใช้เป็นส่วนลดค่าอาหารและเครื่องดื่ม 40% รวม 600 บาท สามารถใ้ช้ได้หลายร้านที่เข้าร่วมโครงการ แต่จะหมดอายุภายใน 23.59 น. วันที่เราเช็คเอ้าท์จากที่พัก แน่นอนว่า จะต้องใช้ในจังหวัดที่ไม่ใช้ภูมิลำเนาตามบัตรประชาชนเช่นเดียวกับการใช้สิทธิ์จองที่พัก
นับเป็นประสบการณ์แรกของทั้งสองฝ่าย ใช้เวลางมหาทางกันพอสมควร เพราะพนักงานยังหาช่องทางเช็คอินไม่ถูก จากนั้นก็เรียบร้อย มีรถรับขึ้นไปที่พัก สวยงามตามปกเป๊ะ ที่พักยังใหม่ สะอาด คนเข้าพักยังน้อย จะไปไหนมาไหนต้องเรียกรถสองแถวของทางโรงแรมขึ้นมารับ
ตกเย็น หลังจากทราบว่า ร้านอาหารของทางรีสอร์ต ไม่เข้าโครงการรับคูปอง (ส่วนลด) 600 บาทที่ได้มา จึงค้นหาในแอปเป๋าตังค์ ซึ่งหายากมาก เพราะระบุการค้นหาแบบรายจังหวัด ร้านอาหารที่อยู่ในกระบี่ทั้งหมดที่เข้าร่วมโครงการก็ขึ้นมาแบบสะเปะสะปะ ไม่รู้ร้านไหนอยู่ตรงไหน รู้แค่ว่าเราอยู่ที่ ต.อ่าวนาง อ.เมือง จึงพิจารณาจาก ร้านใน อ.เมือง ก่อน แล้วค่อยกดแผนที่เข้าไปดู ตัดสินใจแบบไม่คิดมาก เพราะอยากลองเต็มที่ มุ่งหน้าไป “ร้านโกดำ คิทเช่น” อ่าวนาง ห่างจากที่พักราว 10 กิโลเมตร ด้วยรีวิวใน Google ที่อ่านมาแบบฉับพลันว่า “ร้านเป็นกันเองเหมือนนั่งกินอยู่บ้าน”
มาถึงร้าน ซึ่งเป็นโลเคชั่นลับ สุดซอยตัน ร้านเล็กๆ มีไม่กี่โต๊ะ เจอสถานการณ์ยิ่งทำให้คนน้อย แต่เกินร้อยด้วยการต้อนรับ ได้เตรียมใจไว้แล้วว่า ถ้าใช้สิทธิ์ไม่ได้ หรือยุ่งยากมากเรื่องไป ก็จะไม่ใช่คูปอง 600 บาทนี้ ซึ่งจะหมดอายุเวลา 23.59 น. ของวันเช็คเอ้าท์คือพรุ่งนี้ (23 ก.ค.)
“ขอโทษครับ ทางร้านยังไม่สามารถรับชำระเงินผ่านโครงการได้ พรุ่งนี้ผมต้องไปติดต่อธนาคาร” ก็เป็นไปตามคาด ใหม่จริงอะไรจริง แต่เป็นการสอบถามก่อนสั่งอาหาร และเตรียมใจมาแล้ว จึงไม่ซีเรียส เดินหน้าปลากะพงทันใด บอกได้เลยว่าอาหารราคาดี กินปลากระพงทั้งตัวแค่ 280 บาท พนักงานและคนที่ร้านใจดีมาก มากจนอยากกลับไปอีก…
จบไป 1 สิทธิ์
23 ก.ค.2563
ราคาที่จองรวมอาหารเช้า ต้องนั่งรถโรงแรมมาที่ร้านอาหารด้านล่าง พนักงานจะเสิร์ฟคนละเซ็ท ถึงเวลา 12.00 น. ก็เช็คเอ้าท์ คราวนี้ไม่ยาก ทางรีสอร์ตเข้าแอปแล้วกดเช็คเอ้าท์เป็นอันเรียบร้อย (ซึ่งตอนนี้แหละ ที่เงินจากรัฐบาลจะเข้าให้โรงแรม โดยเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย)
จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่เกาะลันตา จากการจองสิทธิ์เราเที่ยวด้วยกันแบบเร่งด่วนอีกเช่นเคย
จากอ่าวนางมุ่งสู่ลันตา ต้องผ่าน อ.เหนือคลอง เสิร์ชอย่างว่องไวระหว่างนั่งรถ เจอเป้าหมายที่จะใช้คูปอง 600 บาท มุ่งตรงไปที่ร้าน “ครัวริมเลซีฟู้ด” รอบนี้โทรมาถามเพื่อความชัวร์ก่อนแล้วว่ารับสิทธิ์ไหม แต่ก็เตรียมใจอีกนั่นแหละว่า ถ้าจ่ายไม่ได้อีกล่ะ ก็จะไม่งอแงนะ เพราะจะเที่ยวให้สนุก…ทุกอย่างต้องยืดหยุ่นได้เสมอ
มาถึงร้าน พนักงานสาวอิสลามรู้ทันทีว่า ที่โทรมาใช่ไหม “นั่งเลยๆ” บริการดีมาก ปูปลาที่นี่สดๆ บ่ายโมงกว่าแล้ว ลูกค้าแทบไม่มี แต่ทางร้านก็ใช้เวลาทำอาหารนานพอสมควร ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุใด… แต่ด้วยความใจดี มีไมตรียิ่งของก๊ะ (ภาษาอิสลาม แปลว่าพี่สาว) จึงเพลินไปกับบรรยากาศท่าเรืออันเงียบสงบ ลมโชยจนอยากเอนกาย แต่พออาหารมาก็ฟื้นชีพซอมบี้ออกล่าได้ทันที
ถึงเวลาคิดเงิน ก๊ะยิ้มร่ามาเลย “มาๆๆ ขอเรียนรู้ด้วย ก๊ะยังไม่เคยใช้เลย ไม่รีบนะๆ มาดูกัน” ที่แท้ก๊ะก็ยังไม่เคยรับลูกค้าเราเที่ยวด้วยกันมาก่อน
ก็เรียนรู้กันไป ทั้งคนขายคนจ่าย ถือเป็นสร้างมิตรภาพครั้งใหม่ กลับไปที่ “ครัวริมเลซีฟู้ด” อ.เหนือคลองเมื่อไหร่ หวังว่าก๊ะจะจำลูกค้าเราเที่ยวด้วยกันคนแรกได้
“โคโค เคป ลันตา” คือ เป้าหมาย มุมสูงจากเนินเขาเล็กๆ บริเวณหาดคอกวาง ที่เลือกเพราะขี้เกียจหาแล้วจริงๆ
ห้องพักแบบ “ฮันนีมูน สวีท วิวทะเล พร้อมจากุซซี” ราคาเต็มที่แจ้ง 2,800 บาท รัฐออกให้ 1,120 บาท จ่ายเอง 1,680 บาท
มุ่งหน้าไปอีกไม่นานก็ถึงท่าเรือข้ามฟากไปเกาะลันตา เข้าเช็คอินที่ “โคโค เคป ลันตา” เพราะเห็นแค่ว่าวิวดี มีบาร์ริมน้ำด้วย
เมื่อไปถึงพนักงานต้อนรับก็มั่นใจมาก เพราะได้รับคำแนะนำจากผู้ดูแลโรงแรมว่า ต้องทำตามขั้นตอน 1 2 3 ซึ่งไม่ตรงกับที่เราเคยเจอมา เริ่มมีการเช็คอินผ่าน “ไทยชนะ” แล้วมีขั้นตอนของทางโรงแรม แต่ยังไม่อิงมาทาง “เป๋าตังค์” ของเราที่รอสแกนเพื่อเช็คอินและรับคูปอง 600 บาท
ยืนอยู่นานจนเหงื่อตก คนที่ดูแลเรื่องนี้ดันไม่อยู่พอดี ทางโรงแรมเลยแนะนำให้เข้าที่พักก่อน ตอนเย็นเมื่อผู้ดูแลกลับมาจะเดินเรื่องกันต่อ
เข้าที่พัก “ฮันนีมูน สวีท วิวทะเล พร้อมจากุซซี” ซึ่งอยู่ด้านหน้าสุดบนเนินผา วิวตรงปก แต่ห้องพักถือว่ามีอายุแล้ว ความสะอาดอยู่ในระดับที่ใช้ได้ ไม่น่ากลัว น่ากังวล ตกเย็นก็ออกมาเดินเล่นบริเวณสระว่ายน้ำ ชื่นชมพระอาทิตย์ตกน้ำกับสีสันเฉพาะถิ่น ฟ้าที่ลันตาจะผสมผสาน จากน้ำเงินเปลี่ยนเป็นม่วง จากเหลืองกลายเป็นแดง เป็นสีน้ำที่ผสมผสานอย่างช่ำชอง วันนี้แทบไม่มีลูกค้าเลย วิวเป็นของเรา…เสียดายอย่างเดียวที่บาร์ยังไม่เปิด… (งอแง)
ในตอนนี้เราได้เจอผู้ดูแลระบบ ผู้ครอบครองอาณาจักร “เราเที่ยวด้วยกัน” ของทางโรงแรม ได้เวลาเช็คอินอย่างเป็นทางการ รับคูปอง 600 บาท นำมาใช้เป็นส่วนลดของที่นี่ได้เลย จำได้ว่าห้องพักที่จองมาไม่รวมอาหารเช้า ก็เลยขอใช้คูปองเป็นส่วนลด รวมกับค่าอาหารค่ำคืนนี้ด้วยเลย
24 ก.ค. 2563
ยามเช้าของเราชิลล์กว่าทุกวัน วันนี้ได้นั่งกินอาหารเช้าพร้อมวิวทะเลสดใส มีทั้งข้าวต้ม ไข่ดาว กาแฟ น้ำส้ม ขนมปัง ในราคา 150 บาทต่อคน ชื่นชมบรรยากาศสักพักก็รีบเช็คเอ้าท์ เพราะหนทางอีกยาวไกล ไม่อยากถึงที่พักต่อไปเย็นมากนัก
ถึงขั้นตอนการจ่ายผ่านเป๋าตังค์ ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เพราะเริ่มรู้แนวทาง เรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้ากันต่อ จากกระบี่วิ่งยาวไปถึงพัทลุง ผ่านตรังแบบไม่ได้แวะแม้เข้าห้องน้ำปั๊ม เมื่อเริ่มหิวก็เริ่มมองหาร้าน นึกได้ว่ามีร้านที่มีชื่อเสียงแต่ไม่เคยใช้บริการ “หลานตาชู” ซึ่งมีทั้งสเต็กและอาหารไทย ปกติจะคนเยอะมาก วันนี้คนน้อย โอกาสเหมาะที่จะแวะลอง
ไม่น่าเชื่อว่าจะผิดหวังทั้ง 2 จาน ทีโบนเนื้อเหนียว มันบดเย็นชืด กับผัดผักรวม (ดูเสมือนมากกว่าผักย่างหรือผักลวก) อีกจานเป็นแซลมอนน้อยทำรังแต่พอตัว เมนูชื่อ “สเต็กแซลมอน” แต่เสิร์ฟมากับซีอิ๊วหวานหรือน้ำจิ้มหวานอะไรสักอย่าง จึงไม่คุ้นและไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าจะได้เจอ ส่วนตัวคิดว่าถ้ามาแบบนี้ควรเสิร์ฟข้าวญี่ปุ่น ไม่ใช่มันฝรั่งทอด
ไม่ปลื้มเท่าไหร่ แต่ดูๆ ไปลูกค้าทั่วไปก็สั่งอาหารไทยเป็นหลัก ก็ดูเจริญอาหารกันตามปกติ…เราอาจจะไม่ปกติก็ได้
ออกจากร้านมุ่งหน้าสู่ จ.สงขลา ผ่านสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 หรือ สะพานเอกชัย ที่ๆ มาแล้วจะไม่แวะไม่ได้ ….ทักทายเพื่อนฝูงสัก 5 นาทีก็ยังดี
ถึง “อ่าวไทย รีสอร์ต” ริมชายหาด จ.สงขลา ได้จองห้องพักแบบ “Comfort Bungalow” เป็นบังกะโลหน้าหาด ราคาเต็มที่อโกด้าแจ้ง คือ 3,040 บาท รัฐจ่าย 1,216 บาท เราจ่าย 1,824 บาท
เข้าเช็คอินที่เคาเตอร์ ไม่มีปัญหาอะไร ว่องไวเหมือนเคยรับลูกค้าโครงการนี้มาก่อนเล้ว แต่กลับมาพางงตอนที่บอกว่า “เช็คอินเรียบร้อยนะคะ เดี๋ยวลูกค้าจะได้คูปอง 600 บาท สามารถใช้เป็นส่วนลดที่ร้านอาหารของเราได้ภายในเที่ยงคืนนี้วันนี้นะคะ”
ก็เลยบอกว่า หมดอายุพรุ่งนี้วันเช็คเอ้าท์นะ ทางพนักงานบอกว่า “บอสบอก” และให้ย้ำกับลูกค้าเพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์ ก็เลยยังไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม
จนถึงเวลาเย็น ลงไปเดินเล่นตรงชายหาดสะอาดตา มาทีไรก็ไม่เคยผิดหวัง เป็นรีสอร์ตที่สงบเงียบแฝงตัวอยู่ท่ามกลางชีวิตความเป็นอยู่ของหมู่บ้านชาวประมง แขกส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวเยอรมัน เนื่องจากเจ้าของเป็นชาวเยอรมันนั่นเอง
ตกค่ำเมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ก็แจ้งกับพนักงานตรงร้านอาหารริมทะเลว่า เอาไว้เช็คค่าใช้จ่ายตอนเช้าเลยทีเดียวนะ เผื่อมีสั่งเครื่องดื่มอะไรต่อ แต่พนักงานก็ย้ำว่า “บอสบอกว่า” ก็เลยอธิบายและเปิดเป๋าตังค์ให้ดูเป็นการยืนยัน
25 ก.ค.2563
เมื่อเช้ามาถึง ความอลังการของอาหารเช้าก็เดินทางมาหา ตอนที่เลือกในกระดาษว่า จะกินขนมปังแบบไหน ข้าวต้มไก่หรือหมู เนยหรือแยม เบคอนหรือชีส ไส้กรอกหมูหรือไก่ ไข่ดาวหรือไข่เจียว ผลไม้หรือโยเกิร์ต ฯลฯ ประมาณ 10 ข้อ ก็สงสัยแล้วว่า ให้เลือกเยอะมาก แต่คงมาอย่างละนิดละหน่อย พอเอาเข้าจริง จัดเต็มมาตั้งแต่ขนมปัง ซึ่งขนมปังโฮมเมดของที่นี่อร่อยมาก เหนียวหนึบนุ่มจนติดใจ
เมื่อถึงเวลาเช็คเอ้าท์ตอนเที่ยง ก็ติดต่อทางฟร้อนท์อีกครั้ง คราวนี้เปิดแอปให้ดูว่า สามารถใช้คูปองได้จริง ทางพนักงานก็ยิ้มร่า ใช้เวลาแป๊บเดียวก็ออกเดินทางต่อได้
มาถึงหาดใหญ่เร็วไปหน่อย “ม่อนคำ วิลเลจ” เป็นโรงแรมที่ให้เช็คอินประมาณ 15.00 น. เพราะที่นี่ให้ลูกค้าเช็คเอ้าท์ 13.00 น. โทรไปสอบถามก่อน เลยได้เข้าพักก่อนเวลานิดหน่อย
ด้วยแผนการเที่ยวต่อเนื่องจนถึงวันที่ 6 แล้ว ที่พักสุดท้ายที่จองไว้จึงเน้นการพักผ่อนจริงๆ แม้ห้องพักที่นี่จะโดดเด่นเรื่องสระว่ายน้ำ แต่ก็เลือกที่จะพักอีกตึกหนึ่ง “ซูพีเรีย คิง วิวสวน” ชอบขนาดห้องใหญ่ ห้องน้ำกว้าง มีเคาเตอร์ครัวพร้อมไมโครเวฟ มีโต๊ะทำงานนั่งสบาย เอาไว้พักจริงๆ หรือทำงาน (บ้าง) หลังจากเดินทางมาหลายวัน
ราคาเต็มที่อโกด้าแจ้งมา “ซูพีเรีย คิง วิวสวน” 1,687 บาท รวมอาหารเช้า รัฐจ่ายให้ 674 บาท เราจ่าย 1,012 บาท ถือว่าคุ้มค่าสำหรับโรงแรมใหม่ระดับ 5 ดาว ในย่านที่ไม่พลุกพล่านนักของหาดใหญ่ แต่มีค่ามัดจำคีย์การ์ด 1,000 บาท สงสัยว่าลูกค้าจะทำหายบ่อย เลยต้องออกกฏที่เด็ดขาดนี้ออกมา
เหมือนหาดใหญ่จะรู้ใจ ไม่มีทะเลแล้ว ตกได้ ฝนจึงเทตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ไปจนค่ำ ทำให้การพักผ่อนเป็นไปอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ช่วงฝนซาลองเดินไปหาเซเว่น ไม่ถือว่าไกลมาก แต่หากช่วงค่ำก็ไม่น่าเดินคนเดียว เพราะร้านรวงแถวนั้นค่อนข้างเงียบ ปากซอยมีร้านอาหารส่งเสียงเพลงแว่วมา วัยรุ่น-คนทำงานจอดรถกันเป็นทางยาว น่าสนใจ
26 ก.ค. 2563
ยามเช้าของม่อนคำเป็นมิตรกับทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะปาร์ตี้หนักมาแค่ไหน อาหารเช้าก็พร้อมเสิร์ฟไปจนถึง 13.00 น. ถูกใจสายดึกมากๆ ลงไปกินตอนสิบโมงครึ่ง ยังกลับมานั่งเล่น นอนรอได้อีกนาน ถึงเวลาเช็คเอ้าท์ก็เป็นไปอย่างสะดวก คาดว่าน่าจะมีผู้มาใช้บริการเที่ยวด้วยกันก่อนหน้า เพราะวันนี้เริ่มเข้าวันหยุดยาวแล้วด้วย
วันนี้อยู่ในเมือง เลยเลือกใช้บริการแกร้บคาร์ พาเราจากโรงแรมไปยัง “ชบานวดเพื่อสุขภาพ” (มาตากายา) เป็นแผนที่งอกขึ้นมา หลังจากสอบถามหลายโรงแรมที่ผ่านมาส่วนใหญ่ ยังไม่เปิดให้บริการสปา เพราะคนนวดอาจจะยังไม่กล้าเสี่ยง มาถึงที่ร้านแล้ว พนักงานสอบถามและเก็บข้อมูลอย่างละเอียด (มากกว่าทุกโรงแรมที่ผ่านมา) เพราะเป็นกิจการร้านนวด ที่ต้องเคร่งครัด ระหว่างการใช้บริการก็ต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา โดยไม่มีข้อแม้
ลงตัวจริงๆ สำหรับทริปนี้ ไม่ได้นวดจากที่อื่น แต่คงกำหนดมาแล้วว่าให้มาเจอ “ป้าทีป” สายพลิ้วแห่งวงการนวด แกนวดเก่ง ไล่กล้ามเนื้อ เส้นตึง เส้นยึดจากอาการออฟฟิศซินโดรม …อย่างโล่ง ไม่มีคำว่าเจ็บ แต่รู้สึกได้ว่าหนักแน่น ไม่ใช่สักแต่นวดให้หนักๆ แต่ไม่ได้อะไรกลับมา แถมบางทีระบมกลับไปต่างหาก ติดใจป้าจริงๆ แน่นอนว่าไปหาดใหญ่เมื่อไหร่ จะต้องแวะไปแน่ๆ
ก่อนโบกลา อันดามัน-หาดใหญ่ แวะไปกินข้าวร้านกลมกล่อม ทางไปสนามบินหาดใหญ่ “แกงปูใบชะพลู” จัดว่าเด็ด ยำถั่วพลูก็อร่อย ไม่เลี่ยน ไม่แน่ใจว่าร้านนี้เข้าโครงการเราเที่ยวด้วยกันหรือไม่ เริ่มเหนื่อยกับการใช้สิทธิ์ที่ยังไม่ค่อยพร้อมมากนักในช่วงแรก
การเร่ิมต้นยากเย็นเสมอ…แต่ก็สร้างการจดจำ จนอยากนำมาเล่าต่อเยี่ยงนี้
ใครที่มีสิทธิ์แล้ว อยากลองใช้ ก็เลือกหาที่พักได้ตามใจ รอบนี้บินมากับงาน และเป็นการเดินทางไกล จากกระบี่ ต่อมา พัทลุง สงขลา จึงไม่ได้ทำการจองตั๋วเครื่องบินผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
สรุปความวู่วาม ตะกละตะกลามเที่ยวไม่ยั้ง ใช้ไป 4 สิทธิ์ เหลืออีก 1 สิทธิ์ ยังนึกไม่ออกเลยว่า เราจะเที่ยวด้วยกันที่ไหนดี…