Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam erat volutpat. Ut wisi enim

Subscribe to our newsletter

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam
[contact-form-7 id="9582" html_class="default"]

Classic “ร็อคเล็กเล็ก” อัลบั้ม “ข้ามกาลเวลา”

คอลัมน์: เซาะร่องเสียง
โดย นกป่า อุษาคเณย์

ความ Classic ร็อคเล็กเล็ก คือการผสมผสานระหว่างทีมงานหลังบ้านกับทีมหน้าบ้าน

ทีมงานหลังบ้านคือทีมโปรดิวเซอร์ และนักดนตรีมืออาชีพเพดานบินสูงส่วนใหญ่เป็นแบ๊คอัพให้เต๋อเรวัต ผนึกกำลังกับทีมแต่งทำนองระดับอ๋อง และทีมเขียนเนื้อร้องระดับเทพ

ประกอบด้วย กฤษณา การุณย์ (กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา) จาตุรนต์ เอมช์บุตร ไพฑูรย์ วาทยะกร วิชัย อึ้งอัมพร พัชรี ศารวรรณ (อัสนี โชติกุล) นิติพงษ์ ห่อนาค เขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์

ยังมีทีมเทคนิคในห้องอัด ทีมถ่ายปก ศิลปกรรมออกแบบปก ทีมการตลาด ประชาสัมพันธ์ เทคโนโลยีสื่อบันทึกเสียง (แผ่นเสียง เทป) ทั้งหมดเป็นแรงเสริมส่งซึ่งกันและกัน ทำให้อัลบั้มนี้ขึ้นชั้น Classic ข้ามกาลเวลา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทีมหน้าบ้าน คือ 6 ศิลปินหนุ่ม

The Toffee + The Crab = The Gang สมการสำคัญก่อนเป็น ‘ไมโคร’

 ก่อนหน้าที่ “อำพล ลำพูน” หรือ “หนุ่ย ไมโคร” และ “ไกรภพ จันทร์ดี” หรือ “กบ ไม่โคร” รวมถึงเพื่อนอีก 4 คนในฐานะเสียงประสาน จะเข้าห้องอัดเพื่อลงเสียง 10 เพลงในอัลบั้ม “ร็อคเล็กเล็ก”

และก่อนหน้าที่สมาชิกนักดนตรีทั้ง 5 คนกำลังแกะเพลงที่รุ่นพี่นักดนตรีชั้นครูได้บรรเลงไว้ในห้องอัด

ทั้ง 6 คน คือกลุ่มนักดนตรีหนุ่มผู้มุ่งมั่นกับการฝึกซ้อม และตั้งใจตระเวนเดินสายเล่นดนตรีสากลแบบฉบับ Deep Purple, The Doors, Scorpions ในจังหวัดระยอง

เรียกได้ว่า จุดก่อเกิด “ไมโคร” มาจาก “หนุ่มระยอง 2 สาย”

สายแรก “อ้วน ไมโคร” หรือ “มานะ ประเสริฐวงศ์” มือกีตาร์ กับเพื่อนรักของเขา ผู้ที่ต่อมาคือร็อคสตาร์หมายเลขหนึ่งของไทย เขาคนนั้นมีชื่อว่า “หนุ่ย-อำพล ลำพูน” ได้ก่อตั้งวง ตระเวนเล่นดนตรีที่ระยองบ้านเกิดในนาม The Crab

ขณะเดียวกัน วงจากระยองอีกวงหนึ่ง ซึ่งขึ้นกรุงเทพฯ มาก่อน เป็นวงร็อคของสองพี่น้อง “ปู-อ๊อด” หรือ “อดิสัย-อดินันท์” นามสกุล ‘นกเทศ’ แห่งวง The Toffee ที่นอกจากจะเป็นนักดนตรีคือ “ปู” เป็น “มือกลอง” และ “อ๊อด” คือ “มือเบส” แล้ว

“ปู” ยังมีอาชีพช่างตัดผม โดยเปิดร้านตัดผมที่ชั้นล่างของห้องแถวใน “ซอยวัฒนวงศ์” ย่านประตูน้ำ ส่วนชั้นบนเป็นห้องซ้อมดนตรี และห้องนอนของสมาชิกวง The Gang

โดยในยุคนั้น “ซอยวัฒนวงศ์” ซึ่งเป็นที่ตั้งห้องซ้อมดนตรีของ ‘ปู’ และวง The Gang คือแหล่งพบปะของนักดนตรีร็อครุ่นใหม่ในกรุงเทพฯ จากชื่อเสียงด้านการปล่อยให้ทุกวงบรรเลงลีลาร็อคได้อย่างเต็มที่ แบบไม่กลัวหนวกหู ไม่กลัวเครื่องเจ๊ง ไม่กลัวไฟช็อต และไม่กลัวห้องพัง

เด็กวัยรุ่นจำนวนมากที่ใฝ่ฝันจะเป็นนักดนตรีจึงเดินทางมาจากทั่วสารทิศ ทุกซอกทุกมุมของกรุงเทพฯ เพื่อซ้อมเพลงร็อคที่ห้องซ้อมดนตรีของ “ปู” ที่ตอนนี้กลายเป็นห้องซ้อมดนตรีของ The Gang ไปอีกตำแหน่งหนึ่ง

และหนึ่งในเด็กวัยรุ่นเหล่านั้น มีชื่อว่า “กบ-ไกรภพ จันทร์ดี” ที่ต่อมาคือ “ตำนานกีตาร์คู่” ร่วมกับ “อ้วน ไมโคร”

“เพราะห้องซ้อมของพี่ปู เป็นห้องซ้อมดนตรีแห่งเดียวในกรุงเทพฯ ที่เล่นเพลงร็อคได้” คำบอกเล่าของ “กบ ไมโคร” ถึงบรรยากาศห้องซ้อมของ The Gang ซึ่งโด่งดังในหมู่วัยรุ่นที่อยากเป็นร็อคสตาร์ในยุคนั้น

ด้วยความรักในเพลงร็อค ชาวคณะ The Gang กินนอนกันอยู่ข้างห้องซ้อมดนตรีแห่งนั้น จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ด้วยความฝันที่จะเป็นวงดนตรีร็อคแอนด์โรลล์ชื่อดัง พวกเขาตระเวนเล่นตามที่ต่างๆ ทั้งเล่นฟรี และมีค่าขนม ทั้งกลางแจ้ง และไนท์คลับ สั่งสมประสบการณ์กันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้รับโอกาสสำคัญในชีวิต

นั่นคือ การแสดงภาพยนตร์!

จาก “ระยอง” ก้าวสู่รั้ว Grammy และกำเนิด “ไมโคร”

อันที่จริง หากจะกล่าวจุดเริ่มต้นของ “ไมโคร” คงต้องย้อนไปสมัยก่อนตั้งวง The Crab ของ “หนุ่ย” และ “อ้วน” กับวง The Toffee ของ “ปู” และ “อ๊อด” ซึ่งทั้งหมดเป็น “คนระยอง”

ตอนที่ “หนุ่ย” ยังเป็นวัยรุ่น เรียนอยู่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ยุคนั้นมีตู้เพลงแบบหยอดเหรียญตามตลาด และร้านค้าต่าง ๆ เพลงละ 1 บาท เพลงที่ “หนุ่ย” หยอดบ่อยเป็นพิเศษ แน่นอน ต้องเป็นผลงานของ Deep Purple, The Doors, Scorpions ที่กำลังโด่งดังในยุคนั้น

เป็นธรรมดาของวัยรุ่น เมื่อฟังมากๆ เข้า ก็อยากร้อง-อยากเล่นบ้าง จึงฟอร์มวงดนตรีวงแรกของตัวเอง ชื่อ The Crab เล่นแนวโฟล์ค โดยมีสมาชิก 3 คน คือ “หนุ่ย” กับเพื่อนของหนุ่ยอีกคนหนึ่ง และที่สำคัญก็คือ “มือกีตาร์” ที่ชื่อ “อ้วน”

อีกฉากหนึ่ง วง The Toffee ของ “ปู” และ “อ๊อด” ที่ขึ้นมากรุงเทพฯ ก่อน The Crab และตั้งหลักอยู่ที่ “ซอยวัฒนวงศ์” ชั้นล่างเปิดเป็นร้านตัดผม และชั้นบนเป็นห้องซ้อมดนตรี โดยนัยนอกจากเป็นธุรกิจเล็กๆ บริการวัยรุ่นกรุงเทพฯ แล้ว ยังเป็นที่รวมตัวของเพื่อนนักดนตรีจากต่างจังหวัดไปด้วยในตัว

เมื่อสมาชิก The Crab เรียนจบชั้นมัธยม ก็ถึงคราวต้องพักวง เพราะทั้งหมดขึ้นมาเรียนต่อกรุงเทพฯ แม้ “หนุ่ย” กับ “อ้วน” จะเรียนคนละที่กัน แต่ก็ยังนัดเจอกันบ่อยๆ และสถานที่นัดหมายจะเป็นแห่งใดไปไม่ได้นอกจากห้องซ้อมดนตรีของเพื่อนจากระยอง นั่นคือ “ปู” กับ “อ๊อด”

นำไปสู่การ “รวมวง” กันในเวลาต่อมา

หลังจากทั้ง 2 วงรวมตัวกันแล้ว ก็คลุกคลีกินนอน โดยมี “กบ” และ “บอย-สันธาน เลาหวัฒนาวิทย์” ตามมาสบทบ ทุกคนมุ่งมั่นกับการซ้อม เพื่อเตรียมออกแสดง กลับมาถึงห้องก็ซ้อม-ซ้อม-ซ้อม และกินนอนกันอยู่ที่นั่น จากวันเป็นเดือน-จากเดือนเป็นปี และแล้ว กลิ่นอายแห่งความสำเร็จในอาชีพนักดนตรีก็เริ่มโชยมาทีละน้อย

เมื่ออยู่ๆ มีคนประสานผ่าน “พี่ปู” มาทางห้องซ้อมดนตรี ว่ากองถ่ายภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ต้องการ “วงร็อคหนุ่ม” เพื่อเข้าฉากเป็นตัวแสดงหลักในหนังเรื่องใหม่

ภาพยนตร์เรื่องนั้นคือ “วัยระเริง” สังกัด “ไฟว์สตาร์” และกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นของผู้กำกับแถวหน้าของฟ้าเมืองไทย นามว่า “เปี๊ยก โปสเตอร์”

และทันทีที่ “เปี๊ยก” ได้พบ “หนุ่ย” เขาก็มอบบทพระเอก “วัยระเริง” ให้ “อำพล ลำพูน” ทันที!

หลังจากปิดกล้อง และออกฉายในปี พ.ศ. 2527 “วัยระเริง” ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แม้ “ไมโคร” จะไม่ได้เล่นดนตรีเอง ทั้งในภาพยนตร์ และในอัลบั้ม Soundtrack ที่ออกวางจำหน่ายในเวลาต่อมา ทว่า แฟนหนัง และคอเพลงชาวไทย ซึ่งเป็นวัยรุ่นในยุคนั้น ต่างนิยมชมชอบ “ไมโคร” กันหมดใจไปแล้ว

ทั้งที่ทีมดนตรีเบื้อง “วัยระเริง” คือสมาชิกวง Butterfly ซึ่งถือเป็น “เบอร์ใหญ่” ในวงการเพลงไทย นำโดย “สุรสีห์ อิทธิกุล” “อัสนี โชติกุล” “อนุวัฒน์ สืบสุวรรณ” “กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา” “กรเณศร์ วสีนนท์” และ “อุกฤษฏ์ พลางกูร” รวมถึง “แหวน-ฐิติมา สุตสุนทร” ที่รับหน้าที่ร้องนำแทนนางเอก “มี๋-วรรษมน วัฒโรดม”

แต่ด้วยชื่อ Butterfly ทำให้คนในแวดวงดนตรีไทยจับตามอง “วัยระเริง” ไปด้วย หนึ่งในนั้นคือ “เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์” นายใหญ่ค่าย Grammy

ประกอบกับการที่ “เต๋อ” ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง “น้ำพุ” ร่วมกับ “หนุ่ย” ด้วยก็เลยได้รู้จักกัน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการถือกำเนิดวง “ไมโคร” แม้หลังจาก “น้ำพุ” ออกฉาย “หนุ่ย” มีงานแสดงที่ทาง “ไฟว์สตาร์” ล็อคตัวเอาไว้ตามมาอีกหลายเรื่องก็ตาม

ทว่า “เต๋อ” บอกกับ “หนุ่ย” ว่า “มึงต้องเลือก ทางใดทางหนึ่ง” ประโยคดังกล่าวได้กลายเป็นทางเลือกแห่งชีวิตของ “หนุ่ย” ที่สุดท้าย เขาเลือกร่วมหัวจมท้ายกับเพื่อน “ไมโคร” เดินหน้าสู่เส้นทางดนตรีภายใต้ชายคา Grammy Entertainment

เปิดฉาก Classic “ร็อคเล็กเล็ก”

ตอนที่ The Gang เปลี่ยนชื่อเป็น “ไมโคร” นั้น มีชื่อให้เลือก 2 ชื่อ จาก “จี๊ด-สุนทร สุจริตฉันท์” นักร้องนำวง Royal Sprite คือ “นิวเคลียร์” กับ “ไมโคร”

สมาชิกวง The Gang ลงมติเป็นเอกฉันท์ เลือกชื่อ “ไมโคร” จากความอ่อนน้อมถ่อมตัว เพราะเพิ่งจะเข้าวงการ โดย “ไมโคร” แปลว่า “เล็กๆ” ส่วน “นิวเคลียร์” เป็นอะไรที่ทำลายล้างอย่าง “ยิ่งใหญ่”

เมื่อลงตัวที่ชื่อ “ไมโคร” ก็ถึงวัน Audition เพื่อเซ็นสัญญา โดย “เต๋อ” ใช้เวที “คอนเสิร์ตแดดเดียว” รายการสดของ Grammy เป็นบททดสอบของ “ไมโคร” โดยที่สมาชิก “ไมโคร” ไม่ทราบมาก่อน

“ไมโคร” ปล่อยของอย่างเต็มที่ตามที่ได้ซ้อมกันมานานนับปี ทำให้ลีลาการแสดงเข้าตาผู้ใหญ่ที่ Grammy นำไปสู่การนัดหมายเซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัดในอีกไม่กี่วันถัดมา

อัลบั้ม “ร็อคเล็กเล็ก” สุด Classic จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2529

 เป็นผลมาจากการที่ “ไมโคร” ระเบิดฟอร์มร็อคเกอร์หน้าใหม่ผู้รันวงการในยุคนั้นอย่างเต็มสปีดกับดนตรีร็อคภาคภาษาไทย แม้พวกเขาจะไม่ได้ทำงานในห้องอัด หรือแต่งเพลงเอง แต่บทบาทเอนเตอร์เทนเนอร์หน้าเวทีไม่เป็นสองรองใคร นับตั้งแต่ก่อนออกอัลบั้มแรก จนถึงทุกวันนี้

แม้ทางผู้ใหญ่ Grammy จะตั้งความหวังกับ “ไมโคร” ไว้มากพอสมควร ทว่า ก็ยังไม่กล้าการันตียอดขายกันมากเกินไปนัก แม้ “เต๋อ” ผู้ปลุกปั้น “ไมโคร” เองก็คาดหมายไว้เพียง 100,000 ตลับ แต่แล้วในที่สุด ยอดเทปลิขสิทธิ์วิ่งไปถึง 8 แสนม้วน ยังไม่นับเทปผี ที่คาดกันว่า รวมๆ แล้ว น่าจะแตะ 200,000 ตลับ รวมสองยอดแล้ว “ร็อคเล็กเล็ก” อาจขายได้ 1,000,000 Copy เลยทีเดียว!

ความสำเร็จของ “ร็อคเล็กเล็ก” ทำให้ “ไมโคร” มีงานจ้างต่อเนื่องเกือบ 2 ปี กว่าจะได้กลับเข้าห้องอัดทำผลงานชุดที่ 2 คือ “10,000 ฟาเรนไฮต์” ในปี พ.ศ. 2531

Classic “ร็อคเล็กเล็ก” อัลบั้ม “ข้ามกาลเวลา”

ความ Classic ของ “ร็อคเล็กเล็ก” ที่เดินทางมาจากปี พ.ศ. 2529 จนใกล้จะถึงปี พ.ศ. 2559 เกือบ 30 ปี ที่ขับเคลื่อนให้ “ร็อคเล็กเล็ก” กลายเป็นอัลบั้ม “ข้ามกาลเวลา”

“อัสนี โชติกุล” คือผู้มีบทบาทสำคัญ จากการผสมผสานสุ้มเสียงดนตรีร็อคสากลระดับโลก กับความลงตัวของเนื้อร้องภาษาไทย เฉกเช่นเดียวกับผลงานในนาม “อัสนี-วสันต์” ในสังกัด Nite Spot และ Grammy

แม้งานในอัลบั้ม “ร็อคเล็กเล็ก” จะมี 2 เพลง ที่เสมือน “เพลง Cover” คือ “รักปอนปอน” ที่นำทำนองมาจากเพลง         และ “จำฝังใจ” ที่นำทำนองมาจากเพลง

ทว่า โดยองค์รวม อีก 8 เพลงที่เหลือ เป็นการสร้างสรรค์ผลงานที่ลงตัว จาก Sound ดนตรีที่ซับซ้อน ทว่า ฟังง่าย เครื่องดนตรีทุกชิ้นมีความหนักแน่น ทว่า พลิ้วไหว เสียงร้องที่คมเข้มของ “หนุ่ย” และลึกซึ้งกินใจของ “กบ” ทุกอย่างผสมผสานกันได้ที่

ด้วยระบบการบันทึกเสียง และการทำมาสเตอร์ระดับมืออาชีพ เครื่องไม้เครื่องมือในห้องอัด และห้องมิกซ์ดาวน์ระดับโลก รวมถึงเทคโนโลยีการจัดทำสื่อบันทึกเสียงคุณภาพสูง ทำให้ผลงานชุด “ร็อคเล็กเล็ก” ฟังเมื่อไหร่ ฟังที่ไหน ก็มีความไพเราะลงตัวด้วยลีลาร็อคที่ดุดัน และจังหวะป๊อปที่สนุกสนาน

ปัจจัยทั้งหมด หลอมรวมให้ “ร็อคเล็กเล็ก” เป็นอัลบั้มที่ “ข้ามกาลเวลา” มาถึงปัจจุบันนั่นเอง

Post a comment

seventeen + 10 =