Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam erat volutpat. Ut wisi enim

Subscribe to our newsletter

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam
[contact-form-7 id="9582" html_class="default"]

RIP Roberta Flack

คอลัมน์: เซาะร่องเสียง

โดย นกป่า อุษาคเณย์
ผมมีแผ่นเสียงที่ชอบการ Design ปกมากชุดหนึ่ง ชื่ออัลบั้ม Killing Me Softly ของ Roberta Flack

เป็นแผ่นเสียงที่ออกแบบได้ดีมาก สื่อถึงการเป็นนักร้องและนักเปียโนของเธอ

หน้าปกเป็นรูปเธอนั่งเล่นเปียโน แต่หากกางออกทั้งหมด จะเป็นภาพเธอยืนร้องเพลง เมื่อหันมองเปียโนที่เปิดออก จะเป็นด้านหน้าของแป้นคีย์บอร์ดของเปียโน และหลังคาเปียโนด้านหน้า

แต่เมื่อพับเข้าหากัน จะเป็นหลังคาเปียโนด้านหลัง และแป้นคีย์บอร์ดด้านหลังที่หันเข้าหาผู้ชม

เป็นปกแผ่นเสียงที่ Design ได้สุดยอดมากของ Roberta Flack

Roberta Flack ศิลปินเจ้าของรางวัล GRAMMY ได้รับการยกย่องจากแฟนเพลงทั่วโลก ว่าเป็นนักร้องหญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยของเรา

บทเพลงของเธอทำให้เราเข้าใจชีวิต ความรัก วัฒนธรรม และการเมือง ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดผ่านดนตรีแนวต่างๆ ที่ฟังสบาย ตั้งแต่เพลง POP ไปจนถึง Soul Folk และ Jazz

Roberta Flack เกิดที่แอชวิลล์ รัฐนอร์ธแคโรไลนา และเติบโตที่อาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย เธอค้นพบอิทธิพลทางดนตรีในช่วงแรกๆ ของเธอจากคริสตจักร

เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส เธอจะแอบออกไปฟังนักร้องแนว Gospel ชื่อดัง เช่น มาฮาเลีย แจ็กสัน และแซม คุก กับวงเดอะโซล สติวเรอร์ส

ที่บ้าน พ่อของเธอได้ซื้อเปียโนมือสองตัวเล็กๆ เพื่อให้เธอฝึกเล่น ขณะนั่งบนตักแม่

เมื่ออายุได้ 9 ขวบ เธอก็เริ่มเรียนเปียโนอย่างจริงจัง และเริ่มฟังเพลงยอดนิยมหลายประเภท เช่น R&B Jazz Blues และ POP

1946

เมื่อเธอเข้าสู่วัยรุ่น เธอเริ่มฟังเพลง Classic และการเล่นเปียโนของเธอก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว เมื่ออายุได้ 13 ปี เธอได้รับรางวัลรองชนะเลิศจากการแสดงโซนาตา Scarlatti ในการประกวดระดับรัฐสำหรับนักเรียนผิวสี

1950

เมื่ออายุ 15 ปี เธอได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Harvard ด้วยทุนการศึกษาทางด้านดนตรีแบบเต็มจำนวน ทำให้เธอเป็นหนึ่งในนักเรียนที่อายุน้อยที่สุดที่เคยเข้าเรียนที่นั่น

1952

ภายในเวลา 1 ปีที่ Harvard เธอขึ้นชั้นอย่างรวดเร็ว โดยได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ควบคุมวง Quated และเล่นเปียโนให้กับนักร้องแนว POP Jazz  และ Opera 

ต่อมา Roberta Flack เปลี่ยนแผนกเรียน จากวิชาเปียโนมาเป็นการร้อง จากการเข้าเป็นสมาชิกคณะนักร้องประสานเสียงของ Harvard เพื่อหารายได้พิเศษ เธอได้สอนเปียโนเด็กๆ และเล่น Organ ที่โบสถ์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่แม่ของเธอเคยทำมาก่อน

1953

ต่อมา Roberta Flack เปลี่ยนสาขาอีกครั้งเป็นวิชาการด้านดนตรี และกลายเป็นครูผิวสีคนแรกที่สอนในโรงเรียนที่สอนเฉพาะคนผิวขาวในละแวกเชวีเชส รัฐแมริแลนด์ เมื่อเธออายุได้ 19 ปี เธอได้กำกับการแสดงละครเรื่อง Aida ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก

1956

เธอเริ่มเรียนต่อในระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโท) ด้านดนตรี แต่การเสียชีวิตกะทันหันของพ่อทำให้เธอต้องออกจากมหาวิทยาลัย และไปหางานสอนประจำเพราะจำเป็นต้องเลี้ยงดูแม่

1959

Roberta Flack เข้ารับตำแหน่งอาจารย์ที่โรงเรียนมัธยมต้นหลายแห่ง เธอสอนด้านดนตรีเป็นหลัก

1959-1963

ณ คลับ Tivoli ที่หรูหราของ Washington DC เธอทำหน้าที่เป็นผู้บรรเลงดนตรีประกอบให้กับนักร้อง Opera ในช่วงพัก Roberta Flack จะร้องเพลง Blues Folk และ POP กับเปียโนเก่าๆ หลังเวที ในที่สุด เธอก็ได้งานที่นั่น และที่ Club1520 โดยเล่นเปียโนเดี่ยว และร้องเพลง

ต้นทศวรรษ 1960

เมื่อครูสอนร้องเพลงคนหนึ่งบอกกับ Roberta Flack ว่า เขาเห็นอนาคตที่สดใสสำหรับเธอด้าน POP ป๊อปมากกว่าเพลง Classic

เธอจึงเริ่มปรับเปลี่ยนผลงานเพลงของเธอในช่วงต่อๆ มา และชื่อเสียงของเธอก็แพร่กระจายออกไป คนอย่างเบิร์ต บาคาราช อัล ฮิบบเลอร์ คาร์เมน แมคราย คิม สแตนลีย์ เอ็ดดี้ แฮร์ริส วูดดี้ อัลเลน แรมซีย์ ลูอิส และจอห์นนี่ แมธิส ต่างก็มาร่วมงานเป็นประจำ

กลางทศวรรษ 1960

Roberta Flack ได้ไป Audition สำหรับอัดแผ่นเสียงค่าย Atlantic Records พร้อมจัดงานการกุศลเพื่อกองทุน Inner City Ghetto Children’s Library Fund กลางฝูงชนที่แน่นขนัดนั้น มีนักดนตรีชื่อดังอย่างเลส แม็กแคน อยู่ด้วย ซึ่งรู้สึกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน 

พฤศจิกายน 1968

อัลบั้มแรกของ Roberta Flack

อัลบั้มเปิดตัว First Take ของเธอ สังกัด Atlantic Studios เพลงที่ตัดออกมามีเพลง The First Time Ever I Saw Your Face ซึ่งโด่งดังมาก

กุมภาพันธ์ 1969

First Take ออกจำหน่ายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2512 ตามมาด้วยซิงเกิลแรกของเธอที่ชื่อว่า Compared To What ซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์ของ Eugene McDaniels

20 มิถุนายน 1969

1 ปีต่อมา เธอได้ออกอัลบั้มที่สองชื่อว่า Chapter Two ซึ่งโปรดิวเซอร์โดย Joel Dorn และ King Curtis เรียบเรียงโดย Donny Hathaway และมี Jerry Butler เป็นผู้แต่งเพลง เพลง Reverend Lee ซึ่งเป็นผลงานของ McDaniels และเพลง Do What You Gotta’ Do ของ Jimmy Webb เป็นซิงเกิลฮิตจากอัลบั้มนี้

มีเพลง Just Like A Woman ของ Bob Dylan รวมถึงเพลงที่แต่งโดย Buffy Sainte-Marie และเพลงฮิตร่วมสมัยในบรอดเวย์อย่าง The Impossible Dream

12 สิงหาคม 1970

ด้วยการสนับสนุนจาก Jerry Wexler และ Donny Hathaway ที่ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานเพลง You’ve Got A Friend ซึ่งเป็นการตีความเพลง POP ร่วมสมัยสุดฮิตอย่างไม่มีใครทัดเทียม ทำให้เธอได้รับคำชมเชยจากนักวิจารณ์ทั่วโลก

1971

ในช่วงปลายปี เธอได้แสดงในกานาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล Soul To Soul Festival ที่เต็มไปด้วยดาราดัง ในงานพิเศษครั้งหนึ่งในชีวิตนี้ แฟล็กได้แสดงเพลง Freedom Song Tryin’ Times และ Gone Awa” อัลบั้มของงานดังกล่าวสังกัด Atlantic 

6 มีนาคม 1971

อัลบั้มที่ 3 ของ Roberta Flack ชื่อว่า Quiet Fire ออกวางจำหน่าย โดยเธอทำการเรียบเรียงดนตรีเองทั้งหมด โดยมีซิงเกิลคือ Will You Still Love Me Tomorrow

พฤศจิกายน 1971

คลินต์ อีสต์วูด ตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะนำเพลง The First Time Ever I Saw Your Face ไว้ในภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง Play Misty For Me ค่าย Atlantic กลับไปนำเพลงนี้จากอัลบั้มแรกของเธอตัดออกมาเป็นซิงเกิล และภายในเวลา 7 สัปดาห์ เพลงนี้ก็ขึ้นถึงอันดับ 1 บนชาร์ต

1972

กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ประกาศให้วันที่ 22 เมษายนเป็นวัน Roberta Flackโดยเริ่มต้นการเฉลิมฉลองสุดสัปดาห์ซึ่งประกอบด้วยงานเลี้ยงต้อนรับที่ศูนย์เคนเนดี และห้องประชุม Congressional Caucus

22 เมษายน 1972

ในงานเลี้ยงดังกล่าว มีเพื่อนฝูง แฟนคลับ และบุคคลสำคัญกว่า 500 คนเข้าร่วม Roberta Flack ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการจากผู้ว่าการรัฐฯ ให้วันที่ 22 เมษายนของทุกปี เป็นวัน Roberta Flack

โดยเธอได้รับรางวัลนักร้องหญิงยอดเยี่ยมจาก Down Beat รางวัลเยาวชนจาก DC และแผ่นเสียงทองคำจาก Atlantic สำหรับซิงเกิล First Time Ever และอัลบั้ม “First Take และ Quiet Fire เธอปิดท้ายงานด้วยการแสดงคอนเสิร์ตยาว 45 นาทีที่ด้านหน้าอนุสรณ์สถานลินคอล์น

1972

ความร่วมมือของ Roberta Flack กับ Donny Hathaway นำไปสู่การที่ Atlantic เปิดตัวซิงเกิลใหม่ของ Hathaway/Flack ที่ชื่อ Where Is The Love อัลบั้มนี้ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับซิงเกิลที่ติดชาร์ตท็อป 10 ติดต่อกันถึงสองเดือน

1972

Roberta Flack ออกอัลบั้มที่ 4 ชื่อว่า Roberta Flack & Donny Hathaway

6 พฤษภาคม 1972 

Roberta Flack ทำลายสถิติรางวัล GRAMMY

โดย First Time Ever คว้ารางวัลเพลงบันทึกเสียงยอดเยี่ยมแห่งปี และเพลงยอดเยี่ยมแห่งปี ขณะที่ Where Is The Love คว้ารางวัลเพลง POP ยอดเยี่ยมแห่งปีจาก Grammy Awards

3 มีนาคม 1973

ซิงเกิลของ Roberta Flack ที่มีชื่อว่า Killing Me Softly With His Song ได้รับการรับรองสถานะยอดขายแผ่นเสียงทองคำ โดยเป็นทั้งเพลง POP และเพลง R&B อันดับ 1 ของประเทศ

อัลบั้ม Killing Me Softly ออกจำหน่ายในเดือนสิงหาคม ได้รับการรับรองสถานะยอดขายแผ่นเสียงทองคำภายใน 2 สัปดาห์ และยังคงเป็นอัลบั้มขายดีตลอดการในทุกประเภทเพลง 

1 สิงหาคม 1973 

Roberta Flack ขึ้นร้องเพลงในคอนเสิร์ตที่ Trident Lounge ใน Cal State College ในลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อ Killing Me Softly ได้รับรางวัลบันทึกเสียงแห่งปี เพลงแห่งปี และเพลง POP ยอดเยี่ยมจาก Grammy Awards

2 มีนาคม 1974

ซิงเกิลต่อมา Feel Like Makin’ Love ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตเพลง POP R&B และ Easy Listening เป็นซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และเป็นซิงเกิลที่ขายได้ล้านแผ่นเป็นเพลงที่ 8 ของเธอในเวลาไม่ถึงสองปีครึ่ง

14 สิงหาคม 1974

อัลบั้ม Feel Like Makin’ Love ออกจำหน่ายในปี 1974 โดยอัลบั้มแรกมี Roberta Flack เป็นสร้างสรรค์ผลงานเองทั้งหมด

1 มีนาคม 1974

Roberta Flack ยังคงทำงาน ทัวร์ และบันทึกเสียงต่อไป โดยเน้นเป็นพิเศษที่ฝีมือการผลิต “ไม่ว่าฉันจะฟังแผ่นเสียงมากี่แผ่นก็ตาม” เธอกล่าว “ฉันรู้ว่าเสียงของฉันเป็นอย่างไรในหัว และในใจฉันก็รู้ว่าฉันต้องการให้เสียงของฉันเป็นอย่างไร เสียงของฉันคือแผ่นเสียงสำหรับฉัน และฉันไม่อยากสูญเสียสิ่งนั้นไป”

ทศวรรษ 1970

Roberta Flack ออกอัลบั้ม Blue Lights in the Basement ซึ่งเธอเรียกว่าเป็น “อัลบั้มโปรดส่วนตัว” ของเธอ

13 ธันวาคม 1977

ในช่วงต้นปี ซิงเกิลใหม่ของเธอได้รับการปล่อยออกมา โดยเป็นผลงานการร่วมงานกับ Donny Hathaway ในชื่อ The Closer I Get To You ซิงเกิลที่ขึ้นสู่อันดับหนึ่งของชาร์ตเพลงเป็นเพลงที่สิบกว่าของเธอและได้รับการรับรองให้เป็นอัลบั้มทองคำ เช่นเดียวกับอัลบั้ม Blue Lights ซึ่งขึ้นถึงอันดับ 1 ในชาร์ตเพลง POP และ R&B 

กุมภาพันธ์ 1978 

เพลง You Are My Heaven ที่แต่งโดยสตีวี วันเดอร์ และอีริก เมอร์คิวรี ได้กลายเป็นเพลงฮิตแนว R&B ระดับโลก โดยเมอร์คิวรี และตัวเธอเป็นผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงานอัลบั้มนี้

1980

Atlantic เปิดตัว Live and More ซึ่งเป็นผลงานร่วมกับ Peabo Bryson นักร้องเจ้าของรางวัล GRAMMY เช่นกัน

1 ธันวาคม 1980

เธอออกจากสังกัด Atlantic Records โดยเธอได้แต่งเพลง และผลิตอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ Bustin’ Loose ของริชาร์ด ไพรเออร์ และซิซลี ไทสัน ซึ่งซิงเกิลจากอัลบั้มนี้ได้แก่ You Stopped Loving Me และ Just When I Needed You

1981

Atlantic เปิดตัว The Best of Roberta Flack ซึ่งเป็นคอลเลกชันเพลง 11 เพลงที่เคยนิยามเพลงยอดนิยมใหม่ในช่วงทศวรรษก่อนหน้า

1981

Roberta Flack กลับมาที่สตูดิโอเพื่อบันทึกเสียงอัลบั้ม I’m The One ร่วมกับโปรดิวเซอร์อย่าง ราล์ฟ แมคโดนัลด์ และวิลเลียม ซอลเตอร์ ซึ่งเคยร่วมกันแต่งเพลง Where Is the Love และวิลเลียม อีตัน

ซิงเกิลที่คัดมาจากอัลบั้มนี้ ได้แก่ Makin’ Love และเพลงของ Bacharach/Sager

1 พฤษภาคม 1982

เพลงที่ Flack ร่วมงานกับ Peabo Bryson ครั้งที่ 2 คือ Born To Love ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 1983 และมีเพลงดังอีกเพลงคือ Tonight I Celebrate My Love

22 กรกฎาคม 1983 

Roberta Flack ปรากฏตัวในฐานะศิลปินรับเชิญในอัลบั้มRendezvous ของตำนานแซกโซโฟนชาวญี่ปุ่น ซาดาโอะ วาตานาเบะ วางจำหน่ายโดย Warner-Pioneer ในญี่ปุ่น Roberta Flack ร้องเพลง If I’m Still Around Tomorrow และ Here’s To Love

1984

Roberta Flack ได้รับเชิญให้ร่วมร้องเพลงสดุดี John Lennon Every Man Has a Woman Who Loves Him และนักวิจารณ์ได้ยกย่องเสียงร้องของเธอในเพลง Goodbye Sadnessว่าเป็นหนึ่งในเสียงร้องที่ซาบซึ้งใจที่สุดในอัลบั้มนี้

16 พฤศจิกายน 1984

Roberta Flack เตรียมกลับมาอยู่ใต้ชายคา Atlantic อีกครั้งในปี 1985 พร้อมกับซิงเกิล People On A String เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง White Nights

1985

เธอปล่อยซิงเกิล We Shall Overcome เพื่อรำลึกถึงวันเกิดของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง

16 กุมภาพันธ์ 1986

เธอได้แสดงสดกับวงออเคสตราซิมโฟนีหลายครั้ง และทัวร์ญี่ปุ่นสองครั้งระหว่างปี 1986 ถึง 1988 ครั้งแรกกับไมล์ส เดวิส และเดอะครูเซเดอร์ และครั้งที่สองกับวงซิมโฟนีญี่ปุ่นของโตเกียว

1986-1988

เธอได้แสดงร่วมกับไมล์ส เดวิสอีกครั้งในงาน Toronto Jazz Festival ในเดือนมิถุนายน และแสดงร่วมกับ National Symphony และ Marvin Hamlisch ณ บริเวณอาคารรัฐสภาในเดือนกรกฎาคม ต่อหน้าแฟนๆ 225,000 คน

1987

เปิดตัว Oasis ซึ่งมีผลงานของ Marcus Miller, Andy Goldmark, David Frank แห่ง The System, Henry Gaffney, Ashford & Simpson, Greg Phillinganes, Michael Omartian, Jerry Hey, David Sanborn, George Duke, Marvin Hamlisch และ Siedah Garrett, Quincy Jones และคนอื่นๆ เพลงไตเติ้ลกลายเป็นซิงเกิล R&B อันดับ 1

1 พฤศจิกายน 1988

Roberta Flack ได้ออก World Tour ในแคลิฟอร์เนีย ญี่ปุ่น และฮ่องกงในปี 1989 โดยเป็นศิลปินหลักในการแสดงร่วมกับ Patrice Rushen และ Duke Ellington Orchestra

1989

Roberta Flack ออกอัลบั้ม Roberta ซึ่งเป็นอัลบั้มเพลง Jazz และ Blues ยอดนิยม ประกอบด้วยเพลงคลาสสิกที่เธอเรียบเรียงเอง เช่น The Thrill Is Gone, Sweet Georgia Brown และ Let’s Stay Together

อัลบั้ม Roberta ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ โดยมีแฟรงก์ ซินาตรา, วิลลี่ เนลสัน, บาร์บรา สไตรแซนด์ และโทนี่ เบนเน็ตต์ร่วมแสดงด้วย

3 ตุลาคม 1994

Roberta Flack เป็นพิธีกรรายการวิทยุประจำสัปดาห์ที่มีชื่อว่าBrunch with Roberta Flack โดยรายการดังกล่าวได้นำเสนอเรื่องราวของเธอผ่านมุมมองที่มีต่อโลกดนตรี ซึ่งตัวเธอเองก็เป็นส่วนสำคัญอย่างมาก รายการ Brunch With Roberta Flack ออกอากาศทั่วประเทศในตลาดวิทยุหลักในเขตเมืองกว่า 30 แห่ง

1995-1998

เปิดตัวอัลบั้มคริสต์มาสชุดแรกของเธอ Flack ที่มีชื่อว่า The Christmas Album รวมถึงการร่วมงานกับ Peabo Bryson ในเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Beauty and the Beast: The Enchanted Christmas ของดิสนีย์

1997

ไฮไลท์ในปี 1998 ได้แก่ การแสดงของโรเบอร์ตาพร้อมกับมาดอนน่า เอลตัน จอห์น และสติงที่คาร์เนกีฮอลล์ในงานคอนเสิร์ตการกุศลประจำปีของมูลนิธิ Rainforest การทัวร์ญี่ปุ่น และการแสดงดนตรีร่วมกับเดอะมัพเพตส์ในรายการ Sesame Street

1998

Roberta Flack ได้รับเลือกให้ได้ประทับมือบนกระเบื้องดวงดาวบนทางเดินเกียรติยศแห่งตำนานของฮอลลีวูด

10 มิถุนายน 1999

เดินทางไปแอฟริกาใต้เพื่อร่วมทัวร์คอนเสิร์ตที่ขายบัตรหมดเกลี้ยง แม้แต่ประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดลา แฟนตัวยงของเธอ ก็ยังมาร่วมสนุกไปกับคอนเสิร์ตที่ปิดท้ายด้วย

กรกฎาคม 1999

ความสำเร็จของเธอ ได้รับการเฉลิมฉลองในรายการ 100 Greatest Women of Rock & Roll ของ VH-1 ซึ่งยาวนานถึง 5 ชั่วโมง เธอได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับต้นๆ โดยมี Tina Turner, Aretha Franklin, Madonna, Alanis Morissette และศิลปินหญิงผู้บุกเบิกคนอื่นๆ ร่วมรายการด้วย ในฐานะ หนึ่งในศิลปินหญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการดนตรี

สิงหาคม 1999

Roberta Flack In Concert วางจำหน่ายในรูปแบบ DVD

2002

Roberta Flack เป็นผู้นำในการต่อต้ายเหตุการณ์ 9/11 โดยเธอและคนดังคนอื่นๆ ได้เข้าร่วมในภาพยนตร์และซิงเกิล We Are Family ของไนล์ ร็อดเจอร์ส กำกับโดยสไปก์ ลี ซึ่งถือเป็นตัวอย่างของความสามัคคีในหมู่ชาวอเมริกันทุกคน

2002

เปิดตัว Holiday ซึ่งเป็นคอลเลกชันเพลงตามฤดูกาลยอดนิยมตลอดกาล อัลบั้มนี้บรรจุเพลงคลาสสิกของเธอ 6 เพลงด้วยกัน

2003

Roberta Flack ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับแฟนๆ เพื่อนๆ และนักดนตรีรุ่นใหม่ในวงการดนตรี แฟล็กเคยปรากฏตัวร่วมกับศิลปินแนวโซล เช่น อลิเซีย คีย์ส, อินเดีย อารี และแองจี้ สโตน ซึ่งล้วนเป็นศิลปินรุ่นใหม่ที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากผลงานก่อนหน้านี้ของเธอ

24 กุมภาพันธ์ 2025

Roberta Flack เสียชีวิตในวัย 88 ปีที่มหานคร New York 

Post a comment

one × four =