เฟซและพี กับบุญรอดของเขา
ไปเที่ยวเขาค้อรอบนี้ ได้อะไรมากกว่าที่คิด
แม้ที่คิดไว้อาจจะไม่ได้ก็ตาม
หมอกเอย ยามเช้าเอย พระอาทิตย์ตกดินเอย…
เพราะตั้งใจว่าจะพักผ่อน นอนเล่นอยู่ในรีสอร์ตให้มากที่สุด ด้วยบรรยากาศของ “กระท่อมน้อยของลุงทอม” ที่เขาค้อ มันลงตัวมาก สำหรับการนั่ง ๆ นอน ๆ ปล่อยตัวนิ่ง ๆ ให้รอบกายเคลื่อนไหว
ฟังเสียงสายลมที่พัดพริ้วตลอดทั้งวัน ท่ามกลางใบไม้ที่เริงระบำโอนเอนไปมา ได้นั่งมองฟ้าที่เป็นสีฟ้ากว่าทุกวัน…
ก็เพราะอยู่ติดที่บ้าง ไม่เหมือนทริปทำงานที่ต้องตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ออกรถกันไปตุเลง ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งวัน เหมือนทัวร์ราคาคุ้มที่มาแล้วต้องเก็บกวาดให้ราบคาบ น่าเสียดายว่าบางทีก็ไม่มีเวลาซึมซาบกับอะไรเลย
ช่วงสายที่หน้าบ้านดินห้อง 2 เรามองเห็นทุ่งนาอยู่ไกล ๆ หากได้พักห้อง 6 ก็จะใกล้ทุ่งนาเข้าไปอีกหน่อย แต่ห้อง 2 ก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า แต่ละห้องจึงมีมุมมองแตกต่างกันไป ระหว่างที่นั่งเล่นบนแคร่หน้าบ้านพัก เราได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วแค่แว่ว ๆ
คราวก่อนสักสามปีที่แล้ว ด้านหน้าห้องพักที่กระท่อมน้อยของลุงทอมยังเป็นวิวแบบ 180 องศา มองเห็นท้องทุ่ง และเนินเขาได้เต็มตา สามารถมองเห็นกังหันลมอยู่ไกล ๆ แต่ปัจจุบัน ในบริเวณใกล้เคียงมีแนวต้นสนเติบใหญ่ แม้จะบดบังทัศนียภาพเดิม ๆ ไปบ้างแต่ก็ก็สดชื่นดี
ตอนแรกเราจึงมองไม่เห็นว่า มีใคร ทำอะไร อยู่ตรงชายทุ่ง จนเพื่อนร่วมทริปที่ออกไปเดินเล่นกลับมาบอกว่า “เจอเด็กเลี้ยงควายด้วย น่ารักมากเลย” และนั่นก็เป็นนาทีแรกที่ทำให้เราอยากเจอพวกเขา
เราเดินลงจากเนินเขาเตี้ย ๆ ไปหยุดที่บ้านหลังที่ 6 สังเกตว่ามีแขกยังพักผ่อนอยู่ จึงไม่ผลีผลามเดินเข้าไปใกล้หรือส่งเสียงดังมาก แค่ได้เห็นเด็ก ๆ กำลังเล่นอยู่กับกลุ่มควายสี่ห้าตัว เมื่อเราส่องเลนส์เข้าไป พวกเขาก็โบกมือทักทายกลับมา
หลังจากนั้นก็ได้แค่เพียงสนทนากันเบา ๆ เพียงชั่วครู่ ได้รู้ว่า “เฟซ” และ “พี” เด็กชายวัย ป.4 และ ป.5 เป็นเพื่อนกัน พวกเขามักจะมาเล่นกับควาย เนื่องจากมีหน้าที่พาควายออกมาหาหญ้ากินตั้งแต่ตีห้า แล้วอยู่ด้วยกันทั้งวัน เที่ยงก็มีกลับไปพักกินข้าวที่บ้านแล้วออกมาใหม่ บ่ายก็ออกมาอีก
เด็ก ๆ บอกว่าบ้านอยู่ใน ต.ทุ่งสมอ นี่แหละ เขาบอกไม่ไกลมาก แต่ที่ชี้ไป เราคาดคะเนไม่ได้เลยว่าไกลขนาดไหน เพราะแถวนั้น มีแต่เนินเขาและทุ่งนา มีต้นไม้ขึ้นครึ้มพอสมควร แต่คาดว่าคงจะมีทางเดินของชาวบ้าน ที่ผ่านไปมาทางนี้ได้
ตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจระบบการเลี้ยงควายของพวกเขา ก็เลยได้แค่บอกว่า เดี๋ยวบ่าย ๆ จะกลับมาใหม่
หลังจากที่พวกเราออกไปตระเวนชมวิว หาอะไรกินแล้วกลับเข้ามาในตอนบ่าย เราซื้อขนมและเครื่องดื่มเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝาก แต่เมื่อมาถึงรีสอร์ต ลงไปที่ชายทุ่ง ก็ไม่เจอพวกเขาเสียแล้ว
ผ่านไปช่วงใหญ่ที่เราโอ้เอ้กันอยู่ริมระเบียง ชมนกชมไม้กันเพลิน ก็เห็นเงาแวบ ๆ ในป่าสนด้านหน้าที่พัก
ใช้แล้ว เป็นพวกเขานั่นเอง เพราะช่วงบ่ายบริเวณทุ่งนาเริ่มมีแดดจัด พวกเขาก็เลยพากันไปหลบใต้ร่มไม้ ถึงจะอยู่ไกลและไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่ก็ยังพอมองเห็นพวกเขากำลังหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน โดยมีเจ้าควายเพียงตัวเดียวอยู่กับพวกเขา
เราจึงคว้ากล้อง เดินไปใกล้สวนป่าให้มากที่สุด แล้วตะโกน
“เฟซ …พี …” พร้อมกับโบกไม้โบกมือ ไม่นานพวกเขาก็โบกไม้โบกมือกลับมา เราจึงทำท่ากวักมือให้พวกเขาเข้ามา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะ จึงชี้ไปทางทุ่งนาที่เดิมที่เจอกันเมื่อเช้า
แล้วก็รอให้พวกเขาเดินมาอีกครั้ง คราวนี้ เพิ่มสมาชิกอีก 1 คน เป็นหนุ่มน้อยผิวเข้มที่ดูเคร่งขรึมกว่าอีกสองคน
เราส่งขนมและน้ำให้เด็ก ๆ พวกเขาไหว้รับอย่างสุภาพ ตั้งแต่เจอกันรอบเช้ามาจนถึงตอนนี้ สัมผัสได้ว่าเด็ก ๆ มีความสุภาพเรียบร้อยมาก ๆ พูดจาเพราะ ครับ ๆ ๆ ทุกคำ โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กกว่าเพื่อนที่เป็นเจ้าของ “บุญรอด” ควายที่ได้การไถ่มา ดูจะร่าเริงและฉะฉานที่สุด แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความอ่อนน้อม
เรานั่งหน้าระเบียงบ้านดินห้อง 6 ซึ่งตอนนั้นแขกผู้เข้าพักได้เช็คเอ้าท์ไปแล้ว นั่งห้อยขาตรงระเบียง คุยกับเด็ก ๆ ที่คลุกอยู่ในป่าหญ้าด้านล่าง เจ้าพีบอกว่า มีหน้าที่พาควายไปเดินเล่นกินหญ้า ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า แล้วก็อยู่เล่นกับมันทั้งวัน โดยไม่รู้สึกเบื่อ เพราะเจ้าบุญรอดนั้นแสนรู้ ใจดี และเป็นมิตร
แต่ก็มีหงุดหงิดบ้าง หากกำลังกินหญ้าก็ห้ามยุ่ง อาจจะโดนขวิดเป็นได้
เมื่อถามถึงควายตัวอื่น ๆ เด็ก ๆ บอกว่า ตัวอื่นมันมีคู่ มีลูก จึงไม่ค่อยเข้าใกล้คนนัก แต่ถึงเวลาก็ต้อนกลับบ้านได้ตามปกติ พอเด็ก ๆ บอกเช่นนั้น เราถึงได้สังเกตเห็นว่า ตรงเนินเขาที่อยู่ไม่ไกล เพียงข้ามทุ่งนาไป มีฝูงควายกำลังและเล็มหญ้าอยู่หลายตัว
และที่เข้าใจไปว่า พวกเขาจะพาควายมากินหญ้าตรงนี้ทุกวันก็ไม่ใช่ เพราะจะเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ จึงเป็นโชคดีของเราที่ได้เจอกับพวกเขาในวันนี้
เด็ก ๆ ยังเล่าเรื่องของบุญรอดและควายตัวอื่น ๆ ให้ฟัง ดูเหมือนว่าพวกเขาใกล้ชิดกันจนเหมือนเพื่อนสนิท จนมีเรื่องเล่าได้อย่างเพลิดเพลิน เพราะวันหนึ่ง ๆ ต้องอยู่กับควายทั้งวัน ถึงตอนเย็นราวห้าโมงกว่า ๆ ก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน
เราสังเกตว่าพวกเขามาตัวเปล่า จึงถามว่า แล้วจะรู้ได้ไงว่าห้าโมงแล้ว ถ้าไม่ใส่นาฬิกา เราได้รับแต่รอยยิ้ม และเสียงเบา ๆ ที่ตอบว่า ก็รู้ว่าเย็นแล้ว แต่ยังไม่มืดครับ อะไรทำนองนั้น
เด็ก ๆ ยังสอนให้รู้จักการเลี้ยงควายฉบับเร่งด่วน
ถ้าควายเชื่องแล้วก็ปีนขึ้นขี่จากบนคอได้ (อธิบายพร้อมท่าประกอบ ขึ้น-ลง อย่างทะมัดทะแมง)หรือ ปีนขึ้นทางเอวก็ได้
“แต่ถ้าควายยังไม่เชื่อง อย่าไปเดินใกล้ตูดมัน มันจะขวิดเอาครับ” เป็นคำอธิบายจากเด็กน้อยที่ฟังเพลินมาก
อย่าจับเชือกให้ห่างนัก มันจะตำเราล้มได้ ให้จับใกล้ ๆ นะครับ (ใกล้กับตรงจมูก) อันนี้ก็มีท่าทางประกอบการจับเชือก แต่ยังไม่เข้าใจมากนัก
อย่าเล่นกับควายตอนกินหญ้า ถ้าขี่อยู่มันก็จะพาตก
อย่าไปเปิดหางมันเล่น มันจะหงุดหงิด
ถึงตอนนี้ก็คิดตามไปว่า จะมีใครอยากไปเปิดหางควายเล่นด้วยหรืออย่างไร แต่ก็คงไม่แน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีบทเรียนนี้…
ระหว่างที่เราพูดคุยกันช่วงใหญ่ ก็บอกเด็ก ๆ ให้กินขนมได้เลยนะ แต่พวกเขาก็ยังนิ่งเฉยกับขนมและเครื่องดื่มในถุง ซึ่งเราก็เลือกซื้อที่มีการบรรจุอย่างมิดชิด เป็นของกินที่ไม่ทำให้ผู้รับรู้สึกไม่ไว้วางใจ
แต่พวกเขาอาจจะโดนสอนให้ระวังตัว หรือเป็นเพราะความเกรงใจ จึงไม่มีใครแตะขนมสักคนเดียว
“ต้องเอาถุงคืนใช่ไหมครับ” เจ้าตัวโตลุกขึ้นถามหลังจากที่ควายกำลังเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าพวกเขาต้องแยกจากพวกเราไปแล้ว
ถุงที่เด็ก ๆ ว่านั้น เป็นถุงผ้าธรรมดา ๆ ถุงหนึ่ง แต่เขาคงเห็นว่ามันเป็นผ้า จึงคิดจะคืนให้พวกเรา จึงบอกว่าไม่ต้อง เอาไปทั้งถุงได้เลย แล้วพวกเขาก็ยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง
การได้สัมผัสถึงความใสซื่อในเวลาสั้น ๆ มันเหมือนกับการได้สูดกลิ่นหอมของดอกไม้ ความบริสุทธิ์ของเด็ก ๆ ผู้รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง แม้ว่าอาจจะเป็นแค่ช่วงที่โรงเรียนยังปิดหรืออะไรก็ตาม แต่ที่เห็นแล้วอุ่นใจคือ พวกเขามีความสุขกับสิ่งที่ทำ เท่าที่สังเกตได้ไม่มีใครพกโทรศัพท์มือถือเลยสักคน
ถ้าจะตีราคาของควาย ตัวก็หลายหมื่นหลายแสน ในฝูงที่กินหญ้าอยู่ไกล ๆ เด็ก ๆ บอกว่ามีควายเผือกอยู่ด้วย แอบคิดไปว่า พ่อแม่ของเด็ก ๆ อาจจะเป็นคนรุ่นใหม่ ที่เลี้ยงลูกให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากนักก็เป็นได้ แต่ก็ไม่ได้ฟันธงอะไรทั้งนั้น แต่มั่นใจว่า การเป็นเด็กดี สุภาพ อ่อนน้อม ครอบครัวคือส่วนสำคัญมาก
เราไม่อาจตัดสินใจจากการพบเจอเพียงชั่วครู่ แต่สิ่งที่รับรู้ไปแล้วคือความสุข ความประทับใจ จากมิตรภาพที่พวกเขามอบให้ด้วยความอ่อนน้อม ชอบใจจริง ๆ ที่ยังเห็นความอ่อนโยนไร้เดียงสา
ระหว่างที่พวกเขายกมือไหว้ลา แล้วเดินห่างออกไป เรายังได้ยินใครสักคนในบรรดาสามคนนั้นพูดขึ้นว่า “เอาขนมไปเก็บที่บ้านก่อนมั๊ย” ถือเป็นเด็กที่ใจแข็งกับขนมได้ถึงเพียงนี้
ตั้งแต่บ่ายวันนั้นเราจึงยิ้มในใจกันมาตลอด เมื่อนึกถึงหน้าเจ้าตัวเล็ก รอยยิ้มอันเบิกบาน วิธีการที่เขาสื่อสารกับเจ้าบุญรอดอย่างใจเย็น นึกถึงแล้วอิ่มเอมใจ ไปเขาค้อเมื่อไหร่ ก็อยากกลับไปหา
ใครที่ไปเขาค้อ แล้วอยากพบเจอพวกเขา เราคงไม่อาจระบุแน่ชัดได้ รู้แต่ว่า เช้ายันเย็น พวกเขาและฝูงควาย จะตระเวนไปตามทุ่งหญ้าธรรมชาติในย่าน ต.ทุ่งสมอ อ.เขาค้อ ซึ่งเป็นบ้านของพวกเขา
บางวันพวกเขาอาจจะอยู่บนเนินเขา บางวันพวกเขาอาจจะหลบอยู่ตามใต้ต้นไม้
พวกเขาคงไม่รู้หรอกว่า วันธรรมดา ๆ ของพวกเธอ คือ วันที่แสนพิเศษของเรา
ขอขอบคุณน้องพี น้องเฟซ เพื่อนของเขา และ “บุญรอด” ของเขา
#ฮักนะเขาค้อ